การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
การผ่าตัดเป็นวิกฤติการณ์ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว ทั้งนี้แม้การผ่าตัดเล็กๆก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้และการผ่าตัดใหญ่บางประเภทมีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อชีวิต นอกจากนั้นไม่ว่าการผ่าตัดใดๆ ย่อมมีผลกระทบต่อแบบแผนของชีวิตเสมอ ได้แก่ การพักผ่อนนอนหลับ การรับประทานอาหาร การขับถ่ายและการออกกำลังกาย การใช้ชีวิตในสังคม เป็นต้น ดังนั้นการผ่าตัดจึงมีผลกระทบต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
การผ่าตัดเป็นวิกฤติการณ์ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว ทั้งนี้แม้การผ่าตัดเล็กๆก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้และการผ่าตัดใหญ่บางประเภทมีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อชีวิต นอกจากนั้นไม่ว่าการผ่าตัดใดๆ ย่อมมีผลกระทบต่อแบบแผนของชีวิตเสมอ ได้แก่ การพักผ่อนนอนหลับ การรับประทานอาหาร การขับถ่ายและการออกกำลังกาย การใช้ชีวิตในสังคม เป็นต้น ดังนั้นการผ่าตัดจึงมีผลกระทบต่อผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดหรือการพยาบาลศัลยศาสตร์นั้นหมายถึง การให้บริการสุขภาพ
โดยพยาบาลวิชาชีพแก่ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
ซึ่งมีเป้าหมายให้ผู้รับการผ่าตัดนั้นหายจากโรคและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ตลอดจนฟื้นฟูสภาพหลังผ่าตัดได้อย่างรวดเร็ว
สามารถกลับไปดำรงบทบาทหน้าที่ของตนเองในครอบครัวและสังคมได้ตามศักยภาพสูงสุดของแต่ละบุคคล
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
แบ่งออกได้ 3 ระยะ คือ
1. การดูแลระยะก่อนผ่าตัด (preoperative care) เป็นการดูแลตั้งแต่ผู้ป่วยตัดสินใจว่าจะเข้ารับการผ่าตัด
จนกระทั่งถึงเมื่อผู้ป่วยได้รับการส่งไปยังห้องผ่าตัด
2. การดูแลระยะระหว่างก่อนผ่าตัด
(intraoperative
care) เป็นการดูแลที่เกิดขึ้น
เมื่อผู้ป่วยได้รับการย้ายเข้าห้องผ่าตัด
จนถึงผู้ป่วยได้รับการส่งต่อไปยังห้องพักฟื้น
3. การดูแลระยะหลังผ่าตัด (postoperative care) เป็นการดูแลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ผู้ป่วยได้รับการย้ายจากห้องผ่าตัดเข้าไปอยู่ในห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด
จนกระทั่งผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ หลังผ่าตัดในหอผู้ป่วยศัลยกรรม
และสามารถกลับเข้าไปสู่ชีวิตปกติได้
การพยาบาลผู้ป่วยระยะก่อนผ่าตัด
วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการพยาบาลผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
มีดังนี้
1.
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ สามารถเผชิญกับความเจ็บปวด
หรือผลกระทบที่จะเกิดหลังผ่าตัด รวมทั้งช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้
2.
ช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการผ่าตัด
3.
ช่วยลดปัญหาในการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
การประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
1.
แบบแผนการรับรู้สุขภาพและการดูแลสุขภาพ
ข้อมูลที่พยาบาลจำเป็นต้องทราบเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลก่อนผ่าตัด มีดังนี้
1.1 ข้อมูลทั่วไปที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและภาวะสุขภาพในอดีตและปัจจุบันได้แก่
การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และสารเสพติด ยาที่รับประทานเป็นประจำ ประวัติการแพ้ยาและสารอาหาร
โรคประจำตัว การรับรู้และการดูแลสุขภาพของตนเอง
1.2
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยปัจจุบัน ดังนี้
- การวินิจฉัยโรคของผู้ป่วย
ซึ่งอาจนำไปสู่การพยากรณ์ได้ว่าอาการของผู้ป่วยจะดีร้ายเพียงใด
- การพยากรณ์โรค
โดยทั่วไปอันตรายของการผ่าตัดแต่ละชนิดอาจแตกต่างกันไป ได้แก่
ผู้ป่วยที่ผ่าตัดมะเร็งในกระเพาะอาหารมีพยากรณ์โรคที่ไม่ดีถ้าเปรียบเทียบกับการผ่าตัดผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- การผ่าตัดที่ผู้ป่วยจะได้รับ
รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่จะต้องผ่าตัดซึ่งจะมีผลต่อความเสี่ยงของชีวิตผู้ป่วย
- แผนการรักษาของแพทย์
หลังจากการรับการรักษาโดยการผ่าตัด
2. แบบแผนการอาหารและการเผาผลาญ
ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินสภาพให้ครอบคลุมโดยการเก็บข้อมูลทางโภชนาการที่ผ่านมาในอดีต
ได้แก่ น้ำหนัก สวนสูง อาหารที่รับประทาน อาการผิดปกติในการรับประทานอาหาร
ภาวะขาดน้ำ หรือไม่สมดุลเกลือแร่ ที่สำคัญคือ
การติดเชื้อในร่างกายหรือในกระแสเลือดที่มีมาก่อน
3. แบบแผนการขับถ่าย
ข้อมูลที่สำคัญ คือ ลักษณะปริมาณ ความถี่ในการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะที่เปลี่ยนแปลงไป
ผลการตรวจปัสสาวะ และระดับ BUN Cr ในเลือด
4.
แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย ข้อมูลพื้นฐานได้แก่ สัญญาณชีพ อาการหอบเหนื่อย
หายใจลำบาก การเต้นของหัวใจ อาการบวม ซีด เขียว ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ระดับเม็ดเลือดของผู้ป่วย
การเคลื่อนไหวและข้อจำกัดของผู้ป่วย
และการตรวจสมรรถภาพปอด
มีความจำเป็นมากโดยเฉพาะในการผ่าตัดใหญ่ซึ่งใช้เวลานานและสูญเสียเลือกมาก
5.
แบบแผนการปรับตัวและความทนทานต่อความเครียด ข้อมูลที่ควรประเมินดังนี้
- ความรู้สึกของผู้ป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ความยินยอมที่จะเข้ารับการผ่าตัด
-
ปัจจัยที่เกี่ยวกับข้องกับการปรับตัวต่อโรคและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ได้แก่
อายุ ระดับการศึกษา แรงสนับสนุนทางสังคม และเจตคติของผู้ป่วยเอง
-
ความกลัวความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดและผลกระทบหลังผ่าตัด เช่น
การผ่าตัดเพื่อเปิดลำไส้ใหญ่ทางหน้าท้อง
-
ความรู้สึกของญาติและครอบครัวต่อภาวะโรค และการรักษาด้วยการผ่าตัดของผู้ป่วย เช่น ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด
มีความรู้เกี่ยวกับโรคและการผ่าตัดไม่ถูกต้อง
การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
จุดประสงค์การเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจไม่มีอันตรายและภาวะแทรกซ้อนในระหว่างดมยาสลบ
และการผ่าตัด ซึ่งพยาบาลจะต้องตระหนักถึงปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมผู้ป่วยเป็นอย่างดี กิจกรรมการพยาบาลที่สำคัญในการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดมี
ดังนี้
1. การเตรียมทางด้านจิตใจ
ปัญหาทางด้านจิตใจที่มักจะเกิดกับผู้ป่วยมี ดังนี้
1.1 ความกลัว
ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุ เช่น ความไม่รู้เกี่ยวกับโรคและการผ่าตัด กลัวการดมยาสลสบ
กลัวการเสียชีวิต การถูกแยกจากคนที่ใกล้ชิด เป็นต้น
1.2 ความวิตกกังวล
ในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การเรียน การทำงาน ครอบครัว เศรษฐกิจ
ความกลัวและความวิตกกังวลต่างๆ
อาจเชื่อมโยงไปถึงการเตรียมตรวจ การเตรียมผู้ป่วยในด้านร่างกายก่อนผ่าตัด
และสภาพร่างกายหลังผ่าตัด ดังนั้นการเตรียมผู้ป่วยให้มีความพร้อมด้านจิตใจพยาบาลควรให้การอธิบายดังนี้
1. ให้กำลังใจ
ความเชื่อมั่นแก่ผู้ป่วย
2. อธิบายและให้คำแนะนำทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ป่วยกลัวและรู้สึกกังวลตามการรับรู้ของผู้ป่วยที่เหมาะสม
3. อธิบายเกี่ยวกับการเตรียมทางร่างกายก่อนผ่าตัด
เช่น การโกนขนบริเวณที่ทำการผ่าตัด
4.
อธิบายให้ทราบถึงความจำเป็นของการที่ผู้ป่วยต้องถูกรบกวน
จากการประเมิน วัดสัญญาณชีพในระยะแรกหลังการผ่าตัด
5. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงความจำเป็นการเซ็นชื่อในใบยินยอม
ภายหลังจากที่ผู้ป่วยแสดงการยินยอมที่จะรับการรักษา กิจกรรมต่างๆที่จะต้องเปิดเข้าไปในร่างกายผู้ป่วย
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพิเศษต่างๆ
เช่น การส่องกล้อง จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยเซนใบยินยอมทั้งนี้เพื่อจะช่วยให้แพทย์
พยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องปลอดภัยทางด้านกฎหมาย
และเป็นการแสดงถึงความยินยอมพร้อมใจในการรักษาด้วย
2. การเตรียมตรวจทางด้านร่างกาย
ในการเตรียมผู้ป่วยด้านร่างกายมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ค้นหาปัญหาของผู้ป่วยในระยะก่อนผ่าตัด เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน
และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นหลังผ่าตัด
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมทางด้านร่างกายก่อนผ่าตัดพยาบาลควรปฏิบัติดังนี้
2.1.
เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย รวมทั้งประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและปัจจุบัน
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติการได้รับการผ่าตัด การแพ้ยาแพ้อาหาร เป็นต้น
2.2 สังเกต บันทึก
และติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆที่สำคัญมีดังนี้
-
การตรวจเลือด (blood
examination) เช่น การนับจำนวนเม็ดเลือด (CBC)
ระดับ ฮีโมโกบิน ฮีมาโตคริท
เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีภาวะซีด การติดเชื้อ
และในบางรายอาจจำเป็นต้องตรวจหาระยะเวลาในการแข็งตัวของเลือด
หรือสอบถามเกี่ยวกับปัญหาในการแข็งตัวของเลือดซึ่งอาจมีผลแทรกซ้อนระหว่างและหลังผ่าตัดด้วย
นอกจากนี้การตรวจหากลุ่มเลือด (blood grouping)
และการเตรียมเลือดไว้ในผู้ป่วยที่คาดว่าจะเลือดมากและควรได้รับเลือดทดแทน
นอกจากนี้ควรตรวจเลือดเพื่อประเมินภาวะการทำงานของไต เช่น BUN Cr รวมถึงประเมินภาวะสมดุลสารน้ำ
และอิเลคโตรไลท์ในเลือด โดยเฉพาะในรายที่มีภาวะขาดสารน้ำ หรือมีการติดเชื้อมาก่อน
-
การตรวจปัสสาวะ (urine
analysis) เพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ เป็นต้น
-
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest
X-ray)
ในผู้ป่วยที่จะเข้ารับการผ่าตัดทุกรายเพื่อตรวจดูว่ามีปัญหาในระบบทางเดินหายใจอยู่หรือไม่
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดเปิดทรวงอกหรือใส่ท่อระบายทรวงอก
-
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เป็นการตรวจที่จำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผ่าตัดที่เป็นอันตรายเช่นการผ่าตัดใหญ่
หรือการผ่าตัดที่มีการเสียเลือดมากและในอวัยวะที่สำคัญ ได้แก่ ทรวงอก หัวใจ
กะโหลกศีรษะ หรือในผู้สูงอายุ
-
การตรวจวัดสัญญาณชีพ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานเปรียบเทียบก่อนและหลังผ่าตัด
ในบางรายที่มีไข้สูง พยาบาลต้องหาสาเหตุและรักษาการติดเชื้อนั้นเสียก่อน
และอาจต้องเลื่อนการผ่าตัดนั้นออกไป
2.3 การตรวจสอบและแก้ไขภาวะโภชนาการ
ในการเตรียมผู้ป่วยด้านร่างกายจำเป็นต้องคำนึงถึงภาวะโภชนาการ ดังนี้
-
กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีคุณค่าและพลังงานที่เพียงพอ ได้แก่
อาหารโปรตีนเพื่อช่วยในการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
และช่วยในการหายของแผล นอกจากนี้ อาหารประเภทวิตามิน เช่นวิตามินซี
ช่วยให้บาดแผลหายเร็ว วิตามินเค ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
-
ในรายที่มีปัญหาในการรับประทานอาหารทางปาก หรือมีภาวะกลืนลำบากจากสภาวะโรคที่เป็น
เช่น โรคมะเร็งหลอดอาหาร อาจต้องให้สารน้ำทดแทนทางหลอดเลือดดำทดแทน หรือ
การให้อาหารทางหลอดเลือดดำใหญ่แบบสมบูรณ์ (total parenteral nutrition, TPN)
2.4
การสอนและให้คำแนะนำผู้ป่วยก่อนผ่าตัด
เป็นสิ่งสำคัญของการเตรียมผู้ป่วยในระยะก่อนผ่าตัก
เพื่อที่จะทำให้ผู้ป่วยร่วมมือและปฏิบัติตนหลังผ่าตัดได้ถูกต้อง นอกจากนี้ยังเป็นการลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
ให้ผู้ป่วยร่วมมือในการรักษาพยาบาล และลดระยะในการอยู่โรงพยาบาลด้วย
ข้อมูลที่ควรสอนผู้ป่วยมีดังนี้
-
ความรู้เกี่ยวกับโรค สาเหตุของการเจ็บป่วย วิธีการและผลดีของการผ่าตัดอย่างคร่าวๆ
วิธีและผลของยาระงับความรู้สึกที่ผู้ป่วยจะได้รับได้แก่
การระงับความรู้สึกทั่งร่างกาย
(general
anesthesia) คือ การที่ทำให้ผู้ป่วยหมดความรู้สึกตัว
ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ผู้ป่วยอาจได้รับการใสท่อช่วยหายใจ
การให้ยาชาทางช่องน้ำไขสันหลัง
(spinal
block) หรือช่องเหนือดูรา (epidural block)
คือการฉีดยาชาทางช่องไขสันหลังทำให้ผู้ป่วยหมดความรู้สึกท่อนล่างของร่างกายไม่เจ็บปวดแต่ยังคงรู้สึกตัวตลอดเวลาที่ทำการผ่าตัดมักใช้กับการผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
สำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และการผ่าตัดบริเวณขา
- การหายใจเข้าออกลึกๆ (deep breathing
exercise) โดยการจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือศีรษะสูง
เพื่อการขยายของทรวงอกได้เต็มที่ สูดหายใจเข้าลึกๆทางจมูก แล้วค่อยๆผ่อนออกทางปาก
ทำเช่นนี้ประมาณ 5-10 ครั้งทุกชั่วโมงหลังผ่าตัด จะช่วยให้ปอดขยายตัวและลดภาวะแทรกซ้อนของระบบหายใจ
เช่น ภาวะปอดแฟบหลังผ่าตัด
ในบางรายที่มีอาการปวดแผลหรือรับการผ่าตัดบริเวณทรวงอกควรสอนการหายใจเข้าออกโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องแทนทรวงอก
(abdominal
breathing) เพื่อให้ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยลงในระยะแรกหลังผ่าตัด
วิธีทำ คือ ให้ผู้ป่วยนอนหงาย วางมือบนหน้าท้อง
สูดหายใจเข้าออกลึกๆทางจมูกพร้อมทั้งเบ่งหน้าท้องออกมาดันมือแล้วค่อยๆผ่อนหายใจออกทางปากคล้ายผิวปาก
พร้อมทั้งเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- การไออย่างถูกวิธี (effective cough) เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของระบบหายใจ
โดยเฉพาะที่เกิดจากการคั่งของเสมหะในปอดโดยการสูดหายใจเข้าให้เต็มที่
กลั้นหายใจแล้วไอออกมาแรงๆ การไอที่มีประสิทธิภาพนี้ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไส้เลื่อน
ต่อมไทรอยด์ สมองและตา เพราะการไอจะทำให้เกิดอันตรายบริเวณที่ผ่าตัด
- การพลิกตะแคงตัว และการลุกจากเตียง (turning and
ambulation) การที่ผู้ป่วยหลังผ่าตัดนอนในท่าเดียวนานๆ
จะทำให้การเคลื่อนไหวของทรวงอกไม่ดี การไหลเวียนของอากาศในปอดลดลง
มีการเกิดเสมหะคั่งค้างได้ง่าย
นอกจากนี้ทำให้การระบายสิ่งคัดหลั่งจากท่อระบายเป็นไปไม่สะดวก การไหลเวียนไม่ดี
และเกิดแผลกดทับได้ง่าย
ดังนั้นเพื่อป้องกันและลดปัญหาดังกล่าวควรฝึกให้ผู้ป่วยเปลี่ยนท่านอนพลิกตะแคงตัวไปมาด้วยตนเองโดยใช้ไม้กั้นเตียงช่วย
ควรทำทุก 2 ช.ม. และควรเริ่มลุกนั่งหรือยืนทันทีที่อาการดีขึ้น
-
การออกกำลังแขนขา (extremity
exercise) การออกกำลังแขนขาจะช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยกระดูกหัก
หรือมีประวัติการอักเสบและอุดตันของหลอดเลือดดำ ก้อนเลือดอุดตันในปอด
ซึ่งทำโดยให้ผู้ป่วยนอนในท่าหัวสูงเล็กน้อยหรือนอนในท่าที่สบาย
และออกกำลังแขนหรือขาทีละข้างโดยเฉพาะการเหยียดออกและงอเข้าของทุกข้อ ยกเว้นในรายที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด
เช่น การผ่าตัดหลอดเลือดที่ขา หรือทำการตกแต่งบริเวณขา อาจเลี่ยงโดยการออกกำลังกายโดยการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
(isometric exercise)
- การควบคุมและลดความเจ็บปวดโดยทั่วไปหลังผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการระงับความเจ็บปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งได้แก่
การได้รับยาแก้ปวดทางหลอดเลือดดำ อย่างไรก็ตามพยาบาลควรสอนวิธีการอื่นๆที่ช่วยในการระงับความเจ็บปวดควบคู่กันไป
เช่นการใช้หมอนหรือผ่ามือทั้งสองข้างในการพยุงแผลขณะไอ
เพื่อลดการกระทบกระเทือนของแผล
-
การปฏิบัติตนอื่นๆ ได้แก่
การดูแลความสะอาดของร่างกายทั่วไป เช่น การอาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ
และล้างสีเล็บเพื่อให้พยาบาลสามารถสังเกตสีเล็บซึ่งจะบอกถึงความผิดปกติได้ และแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
สดชื่น ไม่อ่อนเพลีย
3. การเตรียมผู้ป่วยในคืนก่อนผ่าตัด
โดยทั่งไปในคืนก่อนการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมร่างกายดังนี้
3.1
การเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เป็นสิ่งสำคัญในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
เพื่อลดจำนวนแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง
โดยการทำให้ผิวหนังบริเวณที่จะทำการผ่าตัดสะอาดที่สุด
การโกนขนอาจทำในผู้ป่วยบางรายขึ้นอยู่กับความนิยมของแพทย์
วิธีการผ่าตัดและตำแหน่งหรือบริเวณที่จะทำการผ่าตัด โดยมีหลักการคือ การเตรียมบริเวณผ่าตัดให้กว้างมากพอประมาณ
6-8 นิ้วฟุตโดยพิจารณาถึงตำแหน่งของอวัยวะ ชนิดการผ่าตัด การใช้น้ำยาเบต้าดีนในการทำความสะอาดผิวหนังก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการเตรียมผิวหนังก่อนผ่าตัด
นอกจากนี้พยาบาลควรประเมิน สังเกตสภาพผิวหนังก่อนผ่าตัด อาการแสดงของภาวะติดเชื้อให้ละเอียด
3.2 การงดน้ำและอาหารคืนก่อนผ่าตัด
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะต้องงดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัด 6-8 ชั่วโมง
คือตั้งแต่หลังเที่ยงคืนก่อนผ่าตัดจนถึงเช้าวันผ่าตัด
เพื่อให้กระเพาะอาหารว่างป้องกันการสำลักอาหารเข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจขณะดมยาสลบหรือหลังผ่าตัด
ดังนั้นพยาบาลควรอธิบายเหตุผลให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
พร้อมทั้งติดป้าย “’งดน้ำและอาหารทางปาก” ไว้ที่เตียงผู้ป่วยด้วย
3.3 การเตรียมลำไส้และสวนอุจจาระ
มักทำในคืนก่อนผ่าตัด เพื่อเตรียมลำไส้ให้สะอาดและลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียในลำไส้
โดยเฉพาะในรายที่ได้รับการผ่าตัดบริเวณช่องท้อง อุ้งเชิงกราน ทวารหนัก
หรือบริเวณอวัยวะสืบพันธ์
วิธีการเตรียมลำไส้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการผ่าตัดและความเชื่อรวมถึงการปฏิบัติของแพทย์
ได้แก่ การให้ยาระบายทางปาก เช่น น้ำมันละหุ่ง (caster oil)
หรือ แมกนีเซียมซิเตรด (magnesium citrate) ใน 12-24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด หรือให้ยาเหน็บทางทวารหนัก เช่น dulcolax หรืออาจเป็นการสวนอุจจาระด้วยน้ำสบู่ หรือยาปฏิชีวนะ
จนกระทั่งสิ่งที่ออกจากทวารหนักเป็นของเหลวใสเหมือนสารน้ำที่ใส่เข้าไป โดยเฉพาะในรายที่ทำการผ่าตัดบริเวณลำไส้ใหญ่
นอกจากนี้อาจมีการเตรียมลำไส้โดยการให้ผู้ป่วยมักได้รับอาหารเหลวใสทางปากก่อนผ่าตัดด้วย
เพื่อลดปริมาณของกากอาหารในลำไส้
3.4 การดูแลให้ยากล่อมประสาท
(transquilizer) คืนก่อนการผ่าตัด
ผู้ป่วยมักมีความวิตกกังวลนอนไม่หลับตื่นเต้นต่อการผ่าตัดที่จะได้เผชิญในวันรุ่งขึ้นอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอและอ่อนเพลียได้
ดังนั้นพยาบาลจึงควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยากล่อมประสาท เช่น diazepam รับประทานก่อนนอนตามแผนการรักษา
4. การเตรียมผู้ป่วยในวันที่ผ่าตัด
เพื่อให้ผู้ป่วยมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ในเช้าวันผ่าตัด
พยาบาลจะต้องตรวจสอบ
และดูแลสิ่งต่อไปนี้พร้อมทั้งบันทึกในรายงานการเตรียมผ่าตัดและใบอนุญาตผ่าตัดของโรงพยาบาลให้เรียบร้อย
4.1ความสะอาดของร่างกายทั่วไป
แนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดร่างกายโดยการอาบน้ำ แปรงฟันบ้วนปาก
โดยเฉพาะในรายที่จะทำผ่าตัดในช่องปาก
ดูแลให้ผู้ป่วยบ้วนปากและกลั้วคอด้วยน้ำยาระงับเชื้อ เช่น น้ำยาโดเบล (Dobell’
s sollution) บ่อยๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้เรียบร้อย
4.2
ตรวจสอบผิวหนังบริเวณที่จะทำผ่าตัดและเล็บมือ
เล็บเท้าผู้ป่วยเพื่อให้แน่ใจว่าเตรียมได้ถูกต้องและสะอาดแล้ว
รวมทั้งถามผู้ป่วยเรื่องการงดน้ำและอาหาร
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้รับประทานอาหารอย่างน้อย 8
ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
บางรายอาจได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำควบคู่กันไปด้วยพยาบาลต้องดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอย่างถูกต้องครบถ้วนตามแผนการรักษา
4.3 ตรวจสอบเครื่องประดับของมีค่าต่างๆ
และอวัยวะปลอม เช่น ฟันปลอม คอนเทคเลนส์
ต้องถอดออกให้หมดและเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าดูดหรือไหม้ขณะใช้เครื่องจี้เวลาผ่าตัด
ส่วนอวัยวะปลอมที่ถอดไม่ได้ ต้องแจ้งให้วิสัญญีแพทย์หรือห้องผ่าตัดทราบ
4.4. ตรวจสอบและบันทึกอาการสำคัญ
สัญญาณชีพและการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ
หากผู้ป่วยมีไข้สูงระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากหรือต่ำมาก หรือมีอาการหน้ามืดเป็นลมโดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานควรรายงานแพทย์
และติดบันทึกไว้ที่หน้าป้ายของผู้ป่วย เพราะอาจมีการงดหรือเลื่อนการผ่าตัด
4.5 สำรวจใบอนุญาตผ่าตัด
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยหรือญาติได้เซนใบยินยอมผ่าตัดแล้ว
4.6 เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในการผ่าตัดที่จะต้องนำติดตัวไปกับผู้ป่วย
เช่น ในรายที่ทำการผ่าตัดช่องท้อง
จะต้องเตรียมสายยางเพื่อใส่ทางจมูกเข้าสู่กระเพาะอาหาร
สายสวนปัสสาวะพร้อมทั้งตรวจสอบขนาด และจำนวนที่ส่งไปยังห้องผ่าตัด
4.7. ดูแลให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะก่อนไปห้องผ่าตัด
เพื่อป้องกันปัสสาวะไหลจากการที่กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัวขณะผ่าตัด
ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจให้คาสายสวนปัสสาวะไปห้องผ่าตัดด้วย
4.8 ดูแลให้รับยาก่อนไปห้องผ่าตัด
(pre-medication) ตามแผนการรักษา
ยาที่ให้ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้แก่ ยานอนหลับ
หรือยากล่อมประสาทโดยเฉพาะในกลุ่มบาร์บิทูเรต
เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและช่วยให้การดมยาสลบหรือการใช้ยาระงับความรู้สึกเป็นไปได้สะดวก
สิ่งที่ควรคำนึงคือ ต้องบันทึกจำนวนและเวลาที่ให้และห้ามปล่อยผู้ป่วยไว้ตามลำพัง
ในทางปฏิบัติควรให้ยานี้เมื่อแน่ใจว่าทางห้องผ่าตัดกำลังมารับผู้ป่วยเพราะยานี้ทำให้ง่วงซึมและอาจเกิดอุบัติเหตุได้
4.9 หลังจากส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
ควรเตรียมเตียงเพื่อรอรับผู้ป่วยกลับจากห้องผ่าตัดและเตรียมของใช้ต่างๆ
ให้พร้อมที่จะรับผู้ป่วยหลังจากผ่าตัด เช่น เสาน้ำเกลือ ชามรูปไต
เครื่องดูดสิ่งคัดหลั่ง เครื่องดูดเสมหะ หรืออุปกรณ์ให้ออกซิเจนตามสภาพของผู้ป่วย
การพยาบาลระหว่างการผ่าตัด
การพยาบาลในห้องผ่าตัดเป็นการให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยที่มารับการบริการที่ห้องผ่าตัดโดยพยาบาลประจำห้องผ่าตัดต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความสามารถในการให้การพยาบาลผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและทางจิตใจอย่างถูกต้องเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายเช่นเดียวกับพยาบาลประจำหอผู้ป่วย
นอกจากนั้นต้องมีทักษะในการจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการผ่าตัดรู้หลักการทำให้ปลอดเชื้อ
(sterilization) การทำลายเชื้อ (disinfectants) เทคนิคการปลอดเชื้อ (aseptic technique)
หน้าที่สำคัญของพยาบาลห้องผ่าตัดอีกประการหนึ่งคือ การส่งเครื่องมือ
และการช่วยผ่าตัด
ให้การผ่าตัดดำเนินไปได้ด้วยความราบรื่นและดูแลอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผู้ป่วยกลับไปดูแลต่อที่หอผู้ป่วย ดังนั้นพยาบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทราบเกี่ยวกับห้องผ่าตัด
อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆเพื่อที่จะช่วยให้การพยาบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ห้องผ่าตัดและเครื่องมือที่ใช้ในห้องผ่าตัด
ห้องผ่าตัด (Operating room or
operating theater) เป็นสถานที่จัดเตรียมไว้สำหรับการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากที่สุด
ห้องผ่าตัดต้องมีการออกแบบที่ถูกต้องและมีอุปกรณ์เครื่องใช้ที่สมบูรณ์
โดยเฉพาะในเรื่องของแสงสว่าง ระบบการหมุนเวียนอากาศ
ระบบการป้องกันการติดเชื้อที่ดีและเครื่องมือที่ปราศจากเชื้อ
และมีคุณภาพพอที่จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตผู้ป่วย
การแบ่งเขตภายในตึกผ่าตัด
ตึกผ่าตัดประกอบด้วยห้องต่างๆหลายห้องจัดแบ่งตามการใช้งาน และมีการแบ่งเขตออกเป็น 3 เขต
ดังนี้
1. เขตปลอดเชื้อ
(sterile area) หมายถึง เฉพาะในห้องผ่าตัดทุกห้อง
เฉพาะทีมในการผ่าตัดเท่านั้นจึงเข้าไปได้ ผู้ที่จะเข้าห้องนี้ต้องเปลี่ยนรองเท้า
เสื้อผ้า สวมหมวก และผ้าปิดจมูกและปากตลอดเวลา
2.
เขตกึ่งปลอดเชื้อ (sub-sterile area)
เป็นทางเดินภายในตึกผ่าตึก ระหว่างห้องผ่าตัด ห้องล้างมือ ห้องพักฟื้น
ห้องให้ยาระงับความรู้สึก เฉพาะเจ้าหน้าที่ภายในห้องผ่าตัดผ่านได้โดยต้องเปลี่ยนรองเท้า
เสื้อผ้า สวมหมวกก่อนจึงจะผ่านได้
3. เขตไม่ปลอดเชื้อ
(non-sterile area) เป็นเขตนอกเหนือจากนั้นเช่น ห้องรับส่ง
ห้องรอการผ่าตัด ห้องตรวจพิเศษ ห้องเตรียมเครื่องใช้
บุคลากรภายนอกและผู้มาติดต่อเข้าได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้าและเสื้อผ้า
การทำความสะอาดห้องผ่าตัด
ห้องผ่าตัดจะต้องสะอาดปลอดเชื้อตลอดเวลา
พยาบาลต้องดูแลและควบคุมเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดให้ถูกต้องเรียบร้อยโดยมีหลักการทำความสะอาดพื้นห้องผ่าตัดโดยควรเช็ดความสะอาดด้วยวิธีการเช็ดเปียก
อาจใช้น้ำยาทำความสะอาดพื้นห้องได้แก่ Lysol, Bactyl ภายในห้องผ่าตัดอาจใช้น้ำยา
ได้แก่ 95% alcohol
ไม่ควรใช้ไม้กวาดในห้องผ่าตัดเพราะจะทำให้เกิดการกระจายของฝุ่น
ภายหลังการผ่าตัดที่มีการติดเชื้อ
(septic
case) เสื้อผ้าทั้งหมดที่ใช้
เครื่องมือที่ใช้ต้องนำไปแช่น้ำยาฆ่าเชื้อ 30 นาทีก่อนนำมาซักล้างทำความสะอาด
พื้นห้องที่มีการเลอะสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยควรเทน้ำยาฆ่าเชื้อราดทิ้งไว้ 30
นาทีก่อนจะเช็ดทำความสะอาด
ภายในห้องผ่าตัดให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดให้ทั่วห้องผ่าตัดก่อนที่จะทำการผ่าตัดรายต่อไป
เครื่องมือที่ใช้ในห้องผ่าตัด
เครื่องมือที่ใช้ในห้องผ่าตัดมีหลายชนิดซึ่งมีการจัดเตรียมไว้เป็นชุดรวมกันสำหรับการผ่าตัดในผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อจากการเปิดห่อของหลายห่อ
มีการระบุชื่อวันที่หมดอายุอย่างชัดเจน ในที่นี้จะกล่าวถึงอุปกรณ์ที่สำคัญ ดังนี้
ผ้าที่ใช้ในการผ่าตัด
1.
เสื้อคลุมผ่าตัด (gown)
2.
ผ้าคลุมผ่าตัด
(towel) เป็นผ้าสี่เหลี่ยมใช้สำหรับคลุมตัวผู้ป่วย
3. ผ้าเจาะกลาง (laparotomy sheet) มีหลายขนาดขึ้นอยู่กับการผ่าตัดใช้คลุมตัวผู้ป่วยขณะผ่าตัด
4. ผ้าซับโลหิต
(swab หรือ sponge) ส่วนใหญ่ทำจากผ้าก๊อสและผ้าฝ้าย
มีหลายขนาดเลือกใช้ตามชนิดของการผ่าตัด ขนาดของแผลผ่าตัด
และอวัยวะที่ทำการผ่าตัดได้แก่ ผ้าซับโลหิตใหญ่ (abdominal swab) ขนาด 18X18 เซนติเมตรใช้ในการผ่าตัดช่องท้อง หรือ
ผ้าซับกระดูก (orthopedic gauze)
เป็นผ้าก๊อสม้วนใช้ในการผ่าตัดกระดูกในบริเวณที่แคบๆ
พยาบาลส่งเครื่องมือและพยาบาลผู้ช่วยเหลือทีมผ่าตัดต้องทำการนับก๊อสทุกครั้งที่ใช้ในแผลผ่าตัด
และนับอีกครั้งเมื่อจะเย็บปิดแผลผ่าตัด
วัสดุผูกเย็บ
(Suture
& Ligature)
ในปัจจุบันมีวัสดุผูกเย็บหลากหลายชนิดซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน
พยาบาลควรมีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติ ชนิด
และการเก็บรักษาวัสดุที่ใช้ในการผูกเย็บ
ประเภทของวัสดุผูกเย็บ
หากแบ่งตามลักษณะการละลายเป็น
2 ประเภทใหญ่ คือ
1. วัสดุที่สามารถละลายและถูกดูดซึมได้
(absorbable suture) จะถูกละลายได้โดยปฏิกิริยาทางเคมีจากน้ำย่อย
และน้ำในเซลล์ และถูกดูดซึมเข้าในเซลล์ทั้งหมดไม่เหลือค้างไว้
ซึ่งสามารถแบ่งตามแหล่งที่มา ได้แก่
1.1 วัสดุที่มาจากสิ่งที่มีชีวิต
ได้แก่ catgut หรือ surgical gut ทำมาจาก
connective tissue จากเนื้อเยื่อชั้น submucosa ของลำไส้แกะ สามารถละลายภายใน 5-10 วัน
1.2 วัสดุที่มาจากการสังเคราะห์
(synthesis) ที่ใช้บ่อยในปัจจุบัน ได้แก่
- Dexon เป็นสารประเภท poly glycolic acid (P.G.A) เส้นนิ่มคล้ายเส้นด้าย
มีความเหนียวมากกว่า catgut ละลายช้าโดยละลายหลังจาก 30 วันไปแล้ว
- Vicryl เป็นสารประเภท polyglaclin
910 มีความเหนียวและมีประสิทธิภาพดีในการพยุงขอบแผล
การเริ่มละลายและการดูดซึมใช้เวลาทั้งหมด 90 วัน
- PDS เป็นสารประเภท polygyconate
มีความเหนียวมาก ลักษณะเส้นคล้าย nylon
2.
วัสดุที่ไม่สามารถละลายและไม่ถูกดูดซึมได้ (nonabsorbable suture) ได้แก่วัสดุที่คงค้างอยู่ในเนื้อเยื่อกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายตลอดไปที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
ได้แก่
2.1 วัสดุที่ได้จากธรรมชาติ
- จากสัตว์
ได้แก่ ไหม (silk)
มีความเหนียวมากไม่ควรถูกน้ำเนื่องจากทำให้ความเหนียวน้อยลงถึง 20% ไม่ควรใช้ในการผ่าตัดเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ เพราะจะทำให้เป็นแกนของนิ่วได้
- จากพืช
ได้แก่ ด้าย (cotton) ทำจากฝ้าย มีความเหนียวไม่มาก
เหนียวเพิ่มขึ้น 10% เมื่อถูกน้ำ หรือลินิน (linen) ทำจากต้นแฟลกซ์ มีสีขาว มีความเหนียวและราคาแพงกว่า cotton
2.2. วัสดุที่ได้จากการสังเคราะห์
(synthesis)
ประกอบด้วยสารประเภทพลาสติกจึงมีความลื่นและเหนียวมาก ข้อดีคือ ไม่ดูดซึมน้ำ
มีปฏิกิริยาต่อร่างกายน้อยที่สุด เช่น nilon ที่ได้จากการสังเคราะห์
เครื่องมือผ่าตัด
(Surgical
instrument) ในปัจจุบันเครื่องมือผ่าตัดนิยมทำจากเหล็กไม่ขึ้นสนิม
(stainless
steel) เป็นส่วนผสมระหว่าง เหล็ก นิเกิล ถ่าน และธาตุอื่นๆ
นำมาหลอมให้เป็นเนื้อเดียวกันทำให้ทนต่อการผุกร่อนได้ดี
การจัดชุดเครื่องมือผ่าตัด
เครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัด นิยมจัดเครื่องมือเป็นชุด เพื่อสะดวกในการทำผ่าตัดตามชนิดของการผ่าตัดและมักจะแยกเครื่องมือพิเศษสำหรับการผ่าตัด
โดยจะห่อด้วยผ้าอย่างน้อยสองชั้นแล้วจึงนำไปทำให้ปลอดเชื้อ แบ่งออกเป็น 2
ชนิดได้แก่
1.
เครื่องมือผ่าตัดพื้นฐาน (basic
surgical instruments) ได้แก่
เครื่องมือที่จำเป็นจะต้องใช้ในการผ่าตัด สำหรับการกรีดผิวหนัง
กรรไกรสำหรับตัดเนื้อเยื่อต่างๆ คีมจับหลอดเลือดเพื่อห้ามเลือด
2.
เครื่องมือผ่าตัดพิเศษ (special
surgical instruments) ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้เฉพาะอวัยวะบางชนิด
เช่น คีมสำหรับคีบก้อนนิ่ว (stone forceps)
คีมหนีบกระเพาะอาหารก่อนตัด (payr clamp)
เครื่องมือขูดเยื่อหุ้มกระดูก (periosteal elevator) เป็นต้น
เครื่องมือผ่าตัดพื้นฐาน
(basic
surgical instruments)
เป็นเครื่องมือทั่วๆไปสำหรับการผ่าตัดมีหลายชนิด
ซึ่งสามารถแบ่งออกตามหน้าที่การใช้งานออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
1.
เครื่องมือใช้ตัดหรือเลาะ (cutting or
dissecting)
2.
เครื่องมือใช้หนีบเพื่อห้ามเลือด (clamping or
occluding)
3.
เครื่องมือใช้จับหรือยึดถือ (grasping or holding)
4.
เครื่องมือใช้ถ่างแผล (retractors)
5.
เครื่องมือใช้ร่วมในการผ่าตัด (accessory)
เครื่องมือใช้ตัดหรือเลาะ
(cutting
or dissecting) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดมีคม
(sharp
dissectors)
1.1 มีด (knife หรือ
scalpel)ใช้ในการตัดเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ปัจจุบันมักใช้มีดชนิดถอดเปลี่ยนใบมีด (detachable
scalpel) ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ด้ามมีด (scalpel handle) และใบมีด (scalpel blade)
มีขนาดเล็กใช้ในการผ่าตัดเล็กยาวประมาร 5 นิ้วเป็นด้ามมีดเบอร์ 3
และขนาดธรรมดาใช้ด้ามมีดเบอร์4 มีความยาว 5 นิ้ว
1.2 กรรไกร (scissors) ใช้เลาะแยกและตัดเนื้อเยื่อ มีหลายชนิดตั้งแต่ 7-30 ซ.ม.
ขึ้นอยู่กับความลึกของบริเวณที่จะผ่าตัด มีทั้งรูปร่างปลายตรงปลายโค้ง มุมปลายแหลม
ปลายมน เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเยื่อหรือวัสดุที่ต้องการตัด ที่นิยมใช้ได้แก่
- กรรไกรเมโย (mayo scissors) มีทั้งชนิดปลายตรงและปลายโค้งรูปร่างค่อนข้างใหญ่และหนามีความยาวประมาณ
16-187 ซ.ม.ใช้ตัดเนื้อเยื่อหนา เช่น พังผืด
- กรรไกรเม็ทเซ็นบอม (metzenbuam scissors) กรรไกรชนิดนี้เรียวเบา เหมาะแก่การตัดเลาะเนื้อเยื่อทั่วไป
- กรรไกรตัดไหม (suture scissors,
blunt pointed scissors) ใช้สำหรับตัดเส้นวัสดุที่ใช้เย็บแผล
มักใช้ชนิดปลายมนเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายแก่อวัยวะข้างเคียง
2.
ชนิดไม่มีคม (blunt
dissectors) ใช้เลาะบริเวณที่มีหลอดเลือด
หรือเส้นประสาททอดผ่านเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับหลอดเลือดและเส้นประสาทเหล่านั้น
เช่น tissue
dissecto
เครื่องมือใช้หนีบเพื่อห้ามเลือด
(clamping
or occluding) เป็นเครื่องมือที่ใช้ป้องกันการเสียเลือด
โดยจับปลายหลอดเลือดเพื่อห้ามเลือด ได้แก่ คีมหลอดเลือดแดง (arterial forceps) หรือ คีมห้ามเลือด (hemostatic forceps)
อาจเรียกสั้นๆว่า “hemostat”, “stat” หรือ “clamps” มีหลายลักษณะดังนี้
1.
ชนิดตรงและชนิดโค้ง
1.1 ชนิดตรง (straight arterial
forceps) ใช้จับหลอดเลือดบริเวณตื้นๆ และอาจใช้ในการจับวัสดุผูกเย็บในการดึงรั้ง
1.2 ชนิดโค้ง (curved arterial
forceps) ใช้ในการจับปลายหลอดเลือดโดยเฉพาะในการผ่าตัดบริเวณลึกๆ
2. ชนิดมีเขี้ยวและไม่มีเขี้ยว
คีมหลอดเลือดมักนิยมใช้แบบไม่มีเขี้ยว เพื่อป้องกันการฉีกขาด
มักใช้แบบมีเขี้ยวเมื่อต้องการจับหลอดเลือดขนาดใหญ่ หนา เช่น กล้ามเนื้อ
3. ขนาด
3.1 ขนาดเล็กประมาณ 12.5 ซ.ม.
เรียกว่า halstesed
mosquito hemostat มักใช้ในการผ่าตัดเล็ก ในเด็ก
ผ่าตัดตกแต่งหรือเส้นประสาท
3.2 ขนาดกลาง
นิยมมากที่สุดยาวประมาณ 14 ซ.ม.
3.3 ขนาดใหญ่
ใช้จับหลอดเลือดที่อยู่ลึกๆ เช่น ในช่องท้อง ช่องอกยาวประมาณ 17-18 ซ.ม.
ที่นิยมใช้ ได้แก่ tonsil
clamps
เครื่องมือใช้จับหรือยึดถือ
(grasping
or holding) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ใช้สำหรับจับหรือยึดเนื้อเยื่อ หรือ ใช้จับหรือยึดวัสดุอื่น
1.
ใช้สำหรับจับหรือยึดเนื้อเยื่อ ได้แก่
1.1 ปากคีบ (thumb forceps หรือ dressing forceps)
ใช้หยิบจับเนื้อเยื่อที่ต้องอาศัยกำลังของหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง
กดให้ปลายคีบชิดกัน มีชนิดคือมีเขี้ยวและไม่มีเขี้ยว
- ชนิดมีเขี้ยว (tooth tissue forceps) ใช้จับเนื้อเยื่อที่หนาและลื่น
เขี้ยวจะช่วยให้เนื้อเยื่อไม่ลื่นและหลุดง่าย ใช้กับผิวหนังหรือ
กล้ามเนื้อที่หนาเป็นมัดๆ
- ชนิดไม่มีเขี้ยว (non-tooth tissue
forceps) ใช้จับอวัยวะที่บอบบาง เช่น อวัยวะภายใน กระเพาะอาหาร
หลอดเลือด เส้นประสาท
1.2
คีมจับเนื้อเยื่อที่สามารถยึดเนื้อเยื่อไว้ด้วยตนเอง ที่นิยมใช้ได้แก่ allis tissue forceps
ปลายโค้งเข้าหากันเล็กน้อย ปลายมีรอยหยักเล็กๆ, babcock tissue forceps ปลายเรียบไม่มีฟัน อวัยวะชอกช้ำน้อย
นิยมใช้จับอวัยวะเช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ ถุงน้ำดี ท่อไต ฯลฯ
2.
ใช้จับหรือยึดวัสดุอื่น ได้แก่
2.1 คีมจับผ้า (towel clip) ใช้จับผ้าคลุมผ่าตัด
นอกจากนี้ยังใช้จับดึงกระดูกที่ไม่ใหญ่หรือแข็งแรงจนเกินไป
2.2 คีมจับผ้าก๊อซ (sponge holding
forceps) ปลายมีวงรี มีฟันหยาบเพื่อใช้ทายาฆ่าเชื้อ หรือซับเลือด
2.3 คีมจับเข็ม (needle forceps) มีหลายชนิด หลายขนาด เพื่อให้สามารถจับเข็มได้มั่นคง
เครื่องมือใช้ถ่างแผล
(retractors) ใช้ในการดึงรั้งขอบแผลให้กว้างออกให้เห็นบริเวณผ่าตัดที่ชัดเจน
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่
1. เครื่องถ่างแผลที่สามารถถ่างขอบแผลได้เอง
(self
retaining retractors) ได้แก่ weitlaner self
retaining retractors มักใช้ในบริเวณตื้นๆ หรือ balfour self
retaining retractors ใช้ในการเปิดช่องท้อง เป็นต้น
2.
เครื่องถ่างแผลที่ไม่สามารถถ่างขอบแผลได้เอง (manual retractors) ต้องใช้มือดึงตลอดเวลา มีหลายขนาด ได้แก่ skin hook เป็นตะขอเล็กๆใช้เกี่ยวผิวหนัง, thyroid retractor หรือในการผ่าตัดช่องท้อง
เช่น army-navy, Richardson or abdominal retractor ได้แก่ deaver
retractor
เครื่องมือใช้ร่วมในการผ่าตัด
(accessory)ได้แก่
1. set suction ประกอบด้วย หัว suction และสาย suction
2. เครื่องจี้ไฟฟ้า
ใช้ในการตัดเนื้อเยื่อและจี้ให้เลือดหยุดไหลโดยใช้กระแสความถี่สูง
การทำความสะอาดเครื่องมือ
เพื่อให้เครื่องมือสะอาดปราศจากสิ่งสกปรก
ป้องกันการสะสมคั่งค้างของสารที่อาจทำให้เครื่องมือเสื่อมสภาพ โดย
1. การล้างด้วยมือ (manual cleaning) ทำความสะอาดทันทีหลังการใช้ ขัดล้างทำความสะอาดให้ทั่วเครื่องมือ
2.
การล้างด้วยเครื่อง (mechanical
cleaning) ใช้ในการล้างเครื่องมือจำนวนมาก
ใช้แรงดันชะล้างโดยเครื่องมีแปรงในการล้างโดยใช้น้ำร้อนผสมสบู่หรือสารชะล้าง
3. การล้างด้วยคลื่นอุลตร้าโซนิค
(ultrasonic)
เป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงทำให้เกิดการอัดและขยายทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกจากเครื่องมือ
คุณสมบัติพยาบาลประจำห้องผ่าตัด
1. มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ
2. มีจริยธรรมดี
เคารพในสิทธิของผู้ป่วยแลทีมผ่าตัด
3. มีความซื่อตรง และรู้จักระเบียบวินัยดี
มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการทำงาน
4. มีไหวพริบดี
มีความสามารถในการตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว ว่องไวในการปฏิบัติงาน
5. มีความสนใจในการหาความรู้เพิ่มเติมให้ทันสมัยอยู่เสมอ
และรู้จักพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาในทุกๆด้าน
6. มีความอดทนและความมั่นคงทางอารมณ์
ยินดีรับคำแนะนำและการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ร่วมงาน
7. เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีในการประสานงานร่วมมือกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านศัลยกรรม
8. มีความรู้ความสามารถในการพยาบาลทั้งด้านร่างกายและด้านจิตใจแก่ผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะก่อนผ่าตัด
ระยะระหว่างผ่าตัดและหลังผ่าตัด
หน้าที่ของพยาบาลห้องผ่าตัด
1. ดูแลตึกผ่าตัดให้สะอาดเรียบร้อยและปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
2. จัดเตรียมห้องผ่าตัดให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำผ่าตัดได้ทันทีตลอดเวลา
3. จัดเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำผ่าตัดให้ครบถ้วนก่อนเริ่มผ่าตัด
4. ตรวจชื่อผู้ป่วยที่รับมาจากหอผู้ป่วยให้ถูกต้องทั้งชื่อและชนิดของการผ่าตัดก่อนนำเข้าห้องผ่าตัด
5. ดูแลให้การพยาบาลผู้ป่วยทั้งในระยะก่อนผ่าตัด
ระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัดทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. เป็นผู้ช่วยในทีมผ่าตัด
โดยทำหน้าที่ส่งเครื่องมือ
และช่วยผ่าตัดเพื่อให้การผ่าตัดดำเนินไปด้วยความสะดวกรวดเร็วตลอดระยะของการผ่าตัด
7. จัดเตรียมสารน้ำให้มีจำนวนพอเพียงที่จะใช้ในการผ่าตัดทั้งในยามปกติและเมื่อมีอุบัติภัย
8. สำรวจสิ่งของเครื่องใช้ให้มีคุณภาพดีอยู่เสมอ
ถ้ามีชำรุด ขัดข้อง ต้องรีบแก้ไข หรือของใหม่มาทดแทนก่อนเริ่มผ่าตัด
หน้าที่ของพยาบาลส่งเครื่องมือผ่าตัด
(Scrub
nurse)
-
รักษาเทคนิคการปราศจากเชื้ออย่างเคร่งครัด
-
มีความรู้ในการผ่าตัดและสามารถส่งเครื่องมือและช่วยผ่าตัดได้
-
ใช้เครื่องมือเครื่องใช้เครื่องเย็บและเครื่องผูกอย่างประหยัด
-
ให้การพยาบาลผู้ป่วยอย่างดีที่สุดและได้รับความปลอดภัยมากที่สุด
หน้าที่ของพยาบาลช่วยทั่วไปประจำห้อง (Circulating nurse)
-
ให้การพยาบาลก่อนและขณะผ่าตัดอย่างถูกต้องและเหมาะสม
-
รักษาเทคนิคการปราศจากเชื้ออย่างเคร่งครัด
-
ดูแลเครื่องมือเครื่องใช้ให้เพียงพอต่อความต้องการ
-
ดูแลนับผ้าซับเลือดและเครื่องมือร่วมกับพยาบาลส่งเครื่องมือให้ครบถ้วน
-
ใช้เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์อย่างประหยัดและมีประสิทธิผล
- ปฏิบัติการพยาบาลร่วมกับทีมผ่าตัดอย่างมีคุณภาพเพื่อให้การผ่าตัดราบรื่นและผู้ป่วยได้รับการบริการอย่างดีที่สุด
หน้าที่ของพยาบาลประจำห้องรับส่งผู้ป่วย
(Stretcher
room nurse) ห้องรับส่งผู้ป่วยด้านนอก
รับผู้ป่วยจากหอผู้ป่วยและตรวจสอบดังนี้
-
รายงานในแฟ้ม, เซนใบอนุญาตผ่าตัด,
เตรียมผลการตรวจ X-ray
และทางห้องทดลอง
-
การขอเลือดจากคลังเลือด
-
การเตรียมความสะอาดบริเวณผ่าตัดทั่วไป
-
การงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ช.ม. และในเด็กเล็กๆงดนม 4 ช.ม.
-
ฉีดยา pre-medication ก่อนให้ยาระงับความรู้สึก
30-60 นาทีก่อนทำการผ่าตัด
-
เตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์
ตรวจดูเครื่องประดับและสิ่งแปลกปลอม
หน้าที่ของพยาบาลประจำห้องพักฟื้น (Post- Anesthetic
Care Unit)
-
เตรียมห้องพักฟื้นให้พร้อมทั้งความสะอาดและอุปกรณ์เครื่องใช้
-
ให้การดูแลผู้ป่วยหลังการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด
-
จัดท่านอนของผู้ป่วยให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการผ่าตัดและสภาพผู้ป่วย
-
ป้องกันผู้ป่วยตกเตียงหรือได้รับอันตรายใดๆ
-
ดูแลให้ intravenous fluid ไหลได้สะดวก
-
Check
vital sign ตามสภาพและอาการ
-
ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์และวิสัญญีแพทย์ทันที
-
ส่งผู้ป่วยกลับหอผู้ป่วยอย่างปลอดภัย
การพยาบาลผู้ป่วยระยะระหว่างผ่าตัด
พยาบาลห้องผ่าตัดมีความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัดและการพักฟื้นหลังผ่าตัดโดยมีวัตถุประสงค์และการพยาบาลดังนี้
1. ผู้ป่วยมีความพร้อมทางด้านร่างกาย
เอกสาร อุปกรณ์ได้แก่
- ศึกษาประวัติการเจ็บป่วยและการผ่าตัดในอดีต
- ศึกษาประวัติการใช้ยาประจำ/สิ่งเสพติด
- ตรวจสอบการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเกี่ยวกับการถ่ายปัสสาวะก่อนเข้าห้องผ่าตัดหรือได้รับการสวนคาสายสวนปัสสาวะ
- ตรวจสอบการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัดเกี่ยวกับการสวนอุจจาระหรือสวนล้างช่องคลอด
- ประเมินสัญญาณชีพก่อนผ่าตัด
- ประเมินความผิดปกติของผิวหนัง
กล้ามเนื้อและกระดูกก่อนผ่าตัด
2. ผู้ป่วยได้รับการดูแลในฐานะบุคคลแบบองค์รวม
- ทักทายและสัมผัสผู้ป่วยให้เกิดความมั่นใจก่อนเข้าผ่าตัด
- เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้สอบถามและระบายความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด
- ให้ความสนใจด้านจิตใจผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องระหว่างผ่าตัด
โดยถามอาการเจ็บปวดและการรับรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยลดความวิตกกังวลและความกลัวของผู้ป่วยได้มาก
3. ผู้ป่วยปลอดภัยจากอุบัติเหตุและภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด
โดยการประเมินและบันทึกสิ่งปกติระหว่างการผ่าตัด สภาวะผู้ป่วย สีผิว สัญญาณชีพ
และความดันโลหิต
ดูแลให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนจากยาระงับความรู้สึก
โดยการศึกษาเกี่ยวกับการให้ยาก่อนระงับความรู้สึก (anesthesia) แบ่งเป็น 2
ชนิด
1.
Regional anesthesia เป็นการทำให้ผู้ป่วยปราศจากความเจ็บปวดเฉพาะที่
ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาขณะที่ทำการผ่าตัด จำแนกออกได้หลายวิธีทั้ง local
infiltration, intravenous block กลุ่มประสาทใช้ความเข้มข้นขนาดต่างๆกัน
โดยวิธีการที่มักนิยมใช้ได้แก่
1.1 Local anesthesia (local infiltration)
คือการฉีดยาเฉพาะบริเวณที่จะทำการผ่าตัดเพื่อให้หมดความรู้สึกบริเวณที่จะทำการผ่าตัด
มักใช้ในการผ่าตัดเล็กๆ
1.2 Nerve block คือการใช้ยาชาฉีดรอบๆ
กลุ่มประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณที่ทำการผ่าตัดที่นิยมใช้ได้แก่ Cervical
plexus block ใช้ในการผ่าตัดบริเวณลำคอ Brachial plexus
block ใช้ในการผ่าตัดบริเวณแขนและมือ
1.3 Epidural block คือการฉีดยาชาในช่องเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอก (Epidural space) ทำให้ผู้ป่วยหมดความรู้สึกที่บริเวณลำตัวถึงปลายเท้า
ต่ำจากระดับที่ฉีดยาลงมาใช้ในการผ่าตัดส่วนล่างของร่างกาย
บริเวณอุ้งเชิงกรานและขาทั้งสองข้าง
1.4 Spinal block คือการฉีดยาชาเข้าในช่องน้ำไขสันหลัง (subarachnoid space) ทำให้ผู้ป่วยหมดความรู้สึกส่วนล่างของร่างกาย
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นคือ
ผู้ป่วยอาจมีความดันโลหิตต่ำจากฤทธิ์ของยา อาการคลื่นไส้อาเจียน
หรือการปวดศีรษะจากการรั่วของน้ำไขสันหลัง อาการปวดหลัง บางรายอาจมีอาการมีเสียงในหูซึมสับสนได้
2.
General
anesthesia
คือการทำให้หมดความรู้สึกทั่วร่างกาย
มีทั้งการฉีดยาเข้าทางกล้ามเนื้อ ทางหลอดเลือดดำ หรือโดยการสูดดมทางการหายใจ
ผลข้างเคียง
ถ้าเป็นยาสลบชนิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ทำให้กดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและเพิ่มความต้านทานหลอดเลือดส่วนปลายอันเกิดจากการกระตุ้นซิมพาเทติก
หรือในรายที่รับยาชนิดฮาโลเทน (halothane)
จะมีฤทธิ์กดการหายใจและกดรีแฟลก์การไอ
3. ดูแลให้ผู้ป่วยปลอดภัยระหว่างการผ่าตัด โดย
- ตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องต่างๆ
เช่น ตัวผู้ป่วย อุปกรณ์ เครื่องใช้ในการผ่าตัด ชนิดของยา
และวิธีการได้รับยาระงับความรู้สึก
- ให้การดูแลผู้ป่วยโดยใช้หลักปราศจากเชื้ออย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน
- ระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือการใช้อุปกรณ์ต่างๆ
- ดูแลในการจัดท่าและตำแหน่งหรือบริเวณที่จะทำผ่าตัดของผู้ป่วยให้ถูกต้องเหมาะสม
เพื่อช่วยให้การผ่าตัดดำเนินไปได้ด้วยสะดวกและป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการกดทับจากตัวผู้ป่วยต่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นเวลานาน
ดังนั้นพยาบาลในห้องผ่าตัดต้องมีความรู้เกี่ยวกับการจัดท่าที่เหมาะสม
การจัดท่าที่สำคัญมีดังนี้
1. ท่านอนหงาย
(supine or dorsal recumbent position) ซึ่งเป็นท่าที่ใช้ในการผ่าตัด
เช่น ผ่าตัดตา ใบหน้า ทรวงอก ช่องท้อง ขาและหน้า
2. ท่านอนหงายราบศีรษะต่ำ
(trenderlenburg position) เป็นการจัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบเหมือนท่าแรก
แต่ปรับเตียงให้เอียงลาดมาทางศีรษะอยู่ต่ำกว่าปลายเท้า
มักใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
เพื่อทำให้ลำไส้เล็กและอวัยวะภายในเคลื่อนลงต่ำไปตามแรงโน้มถ่วงมาด้านช่องท้องส่วนบน
เพื่อลดการขัดขวางต่ออวัยวะที่จะทำผ่าตัดด้านล่าง
3.
ท่านอนตะแคง (lateral position)
เป็นการจัดให้ผู้ป่วยนอนตะแคงให้เอวด้านข้างต่ำลง ศีรษะหนุนหมอน
แขนทั้งสองข้างงอตั้งฉากกับตัว ขาด้านบนเหยียดตรง แต่ให้มีการงอสะโพกและต้นขา
ระหว่างขามีหมอนหนุนรองรับ ใช้ในการผ่าตัดเกี่ยวกับทรวงอก บริเวณไตและท่อไต
รวมทั้งการผ่าตัดบริเวณสะโพกและต้นขา
4.
ท่านอนหงาย ยกขาสูง (lithotomy position)
เป็นการจัดให้ผู้ป่วยนอนหงาย ขาทั้งข้างยกขึ้นวางพาดบนที่วางเท้า
ขาทั้งสองข้างถ่างออกจากกันใช้ในการผ่าตัดบริเวณฝีเย็บ อวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก
5. ท่านอนคว่ำยกตะโพกสูง
(jack knife or laminectomy position) ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำ
บั้นเอววางอยู่บนรอยพับของเตียงผ่าตัด ลำตัวนอนราบอยู่ในแนวขนานกับส่วนขาศีรษะเทลาดลง
แขนวางเหยียดข้างศีรษะ ส่วนสะโพกสูงกว่าส่วนอื่น
ใช้ในการผ่าตัดลำไส้ส่วนล่างหรือส่วนหลัง
- ประเมินสภาพร่างกายผู้ป่วยเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ
ได้แก่ การวัดสัญญาณชีพ การดูแลให้สารน้ำและยาทางหลอดเลือดดำ
และการรายงานอาการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติให้กับทีมผ่าตัดทราบ
- บันทึกและตรวจสอบลักษณะการปิดแผลและดูแลท่อระบายต่างๆ
ภายหลังการผ่าตัดสิ้นสุดลง เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนและการปนเปื้อนของแผลผ่าตัด
- ดูแลความปลอดภัยและระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังห้องพักฟื้นเพื่อการดูแลต่อไป
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
จากผลกระทบต่อสุขภาพในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
อาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้การฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยเป็นไปได้ล่าช้า
ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่าย เวลาในการรักษา ดังนั้นเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
พยาบาลควรตระหนักถึงความสำคัญในการพยาบาลผู้ป่วย รวมถึงการประเมินสภาพ
การเปลี่ยนแปลงได้ถูกต้อง รวดเร็ว
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากอันตรายหรือผลกระทบต่างๆ
ซึ่งการประเมินสภาพหลังผ่าตัดที่สำคัญมีดังนี้
1.
แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย ได้แก่
1.1
ประวัติโรคหัวใจ โรคปอด เบาหวาน
ความดันโลหิตสูงที่มีก่อนผ่าตัด
1.2
การเปลี่ยนแปลงสัญญาณชีพ
ซึ่งบ่งบอกการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือด โดยประเมินการหายใจ ความสามารถในการหายใจ
และอุปกรณ์ที่ช่วยในการหายใจ บันทึกความเข้มข้นของปริมาณออกซิเจน
หากพบการหายใจที่ผิดปกติ คือ เร็วหรือช้ากว่าก่อนผ่าตัด 10 ครั้งต่อนาที
การตรวจร่างกายด้วยการดู ฟัง เคาะ คลำก็เป็นสิ่งจำเป็น
ชีพจรและความดันโลหิต
โดยทั่วไปชีพจรและความดันโลหิตไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าหรือน้อยกว่า 20%
ของค่าปกติหรือจากเดิมก่อนผ่าตัด ชีพจรที่เต้นเร็วผิดปกติ
หรือไม่สม่ำเสมอ ความดันโลหิตลดลง ซึ่งอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การสูญเสีย ช็อค
หรือการปวดแผล
การคลำชีพจรควรทำทุกตำแหน่งโดยเฉพาะในรายที่ได้รับการผ่าตัดหลอดเลือดหรือในรายที่มีการอุดตันของหลอดเลือด
การเต้นของหัวใจ
ต้องประเมินคู่ไปกับชีพจร และคลื่นไฟฟ้าหัวใจโดยเฉพาะในรายที่มีโรคหัวใจ หลังผ่าตัดอาจพบคลื่นหัวใจผิดปกติที่ทำให้ปริมาตรส่งออกจากหัวใจใน
1 นาทีลดลงได้
ค่าความดันในหลอดเลือดดำส่วนกลาง
บ่งบอกถึงปริมาตรเลือดที่ไหลเวียนในร่างกาย
อุณหภูมิร่างกาย
อาจพบมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่สูงกว่าปกติใน 24 ช.ม. แรกหลังผ่าตัด ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาตองสนองของร่างกายหลังผ่าตัด
จากเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บ หรือการเสียน้ำ หากมีไข้หลังจาก 24 ช.ม. อาจเกิดจากการติดเชื้อ
2.
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญ การประเมินที่สำคัญ
คือ
2.1
ประวัติการได้รับและสูญเสียสารน้ำและเกลือแร่
ตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึงหลังผ่าตัด
2.2
ชนิดและปริมาณของสารน้ำที่ได้รับและออกจากร่างกาย
ภาวะโภชนาการ และปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่ได้รับในแต่ละวัน
2.3
การรับรู้เกี่ยวภาวะโภชนาการ
และการเรียนรู้การรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรคและพยาธิสภาพหลังผ่าตัด
2.4
การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร
เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด การเคลื่อนไหวของลำไส้ เป็นต้น
2.5
การเปลี่ยนแปลงสมดุลสารน้ำและเกลือแร่
รวมถึงสมดุลกรดด่างจากอาการและอาการแสดงที่ปรากฏ และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
โดยเฉพาะค่าอิเลคโตรไลท์ บียูเอ็น คริเอตินิน
3.
แบบแผนการขับถ่าย ควรประเมินในเรื่องต่อไปนี้
3.1
ประวัติการเสียเลือด สารน้ำทางปัสสาวะ
การขับถ่ายที่ปกติก่อนและหลังผ่าตัด
3.2 ลักษณะการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการขับถ่ายปัจจุบัน
เช่น ปัสสาวะออกน้อย หรือไม่ออกหลังผ่าตัด ปัสสาวะขุ่น ท้องผูก เป็นต้น
3.3 การทำงานของไต
เช่น การประเมินภาวะไม่สมดุลสารน้ำและเกลือแร่ จากการเสียหน้าที่ของไต
การมีของเสียคั่ง
4.
แบบแผนการรับรู้และการดูแลสุขภาพ ได้แก่
ประเมินความรู้ เข้าใจ และการยอมรับในการผ่าตัดที่เกิดขึ้น
ความร่วมมือในการปฏิบัติการรักษาพยาบาล และการปฏิบัติตนเพื่อส่งเสริม ฟื้นฟูสุขภาพตนเอง
5.
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
ประเมินการรับรู้และวิธีการเปลี่ยนแปลงความเครียด
สังเกตพฤติกรรมตอบสนองต่อความเครียด
กิจกรรมการพยาบาลหลังผ่าตัด
1.
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายใจให้โล่ง
และคงไว้ซึ่งการทำงานระบบหายใจ ภายหลังการผ่าตัดระยะแรก
ภาวะพร่องออกซิเจนเป็นภาวะที่พบได้บ่อย
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย
สาเหตุอาจเกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจ ภาวะหายใจช้า (hypoventilation) มีลมในช่องเยื้อหุ้มปอด เป็นต้น การพยาบาลได้แก่
1.1
การจัดท่านอน ให้นอนราบ
ไม่หนุนหมอน ตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งป้องกันลิ้นตก และการลำสัก อาเจียน
ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดีอาจให้นอนราบหนุนหมอนได้
ยกเว้นในรายที่ได้รับยาชาเข้าทางไขสันหลัง ให้นอนราบอย่างน้อย 6-12 ช.ม.
1.2 สังเกตการหายใจของผู้ป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้
ได้แก่ การหายใจตื้นเร็ว จากการค้างของยาสลบ หายใจลึก ช้าลง
จากฤทธิ์ตกค้างของยาระงับปวดกลุ่ม narcotic และดูแลทางเดินหายใจให้โล่งอยู่เสมอโดยการดูดเสมหะ
เลือดในปาก จมูก
1.3 กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆ
และไออย่างมีประสิทธิภาพ ตามวิธีที่สอนผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด
และติดตามการปฏิบัติของผู้ป่วยหลังผ่าตัด
1.4 เปลี่ยนท่านอนหรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆในรายที่ไม่รู้สึกตังควรพลิกตะแคงตัวให้ทุก
1-2 ชั่วโมง และในรายที่รู้สึกตังดีควรจัดให้นอนท่าศีรษะสูง
(fowler’s position)
นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการลุกนั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว
และลุกขึ้นเดินได้ภายใน 24 ชั่วโมงถ้าไม่มีข้อห้ามตามแผนการรักษา
1.5 กระตุ้นให้ทำกิจวัตรด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนเตียง
และลดภาวะแทรกซ้อนจากการนอนท่าเดียวนานๆ
1.6 ดูแลให้รับยาตามแผนการรักษา เช่น ยาขับปัสสาวะ
ยาปฏิชีวนะ ติดตามผลการรักษาโดยการสังเกต บันทึกลักษณะสีกลิ่น และจำนวนของเสมหะ รวมทั้งสังเกตอาการข้างเคียงของยา
1.7 สังเกตอาการบ่งชี้ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้น สัญญาณชีพ รวมถึงค่าออกซิเจนในเลือด
1.8
ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ
รายงานแพทย์และให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
2.
การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการทำงานของระบบหัวใจ
และไหลเวียน ปัญหาด้านระบบไหลเวียนที่พบบ่อยหลังผ่าตัดได้แก่
การเกิดความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ และภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ (arrhythmia)
2.1 ตรวจวัดสัญญาณชีพ
ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที 4 ครั้งและทุก 1 ชั่วโมงจนชีพจรสม่ำเสมอ
2.2 สังเกตลักษณะบาดแผล
และปริมาณสิ่งคัดหลั่งต่างๆที่ออกจากร่างกายผู้ป่วยรวมถึงประเมินการสูญเสียสารน้ำที่เกิดขึ้น
หากมีการหลั่งในปริมาณที่ผิดปกติให้รายงานแพทย์
2.3 ดูแลให้ได้รับสารน้ำ เลือด
หรือพลาสมาทดแทนทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาและตามอาการของผู้ป่วย
2.4
ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆในบริเวณที่มีเลือดออกมากๆเพื่อลดการเคลื่อนไหวซึ่งจะมีผลทำให้เลือดออกมากขึ้น
2.5
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมในรายที่มีภาวะช็อก เช่น อุปกรณ์
ดูดเสมหะ ออกซิเจน ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิตเป็นต้น
2.6 สังเกตบันทึก
และติดตามผลการตรวจคลื่นหัวใจ โดยเฉพาะในรายที่มีการเต้นหัวใจผิดปกติ
กล้ามเนื้อหัวใจตายหลังผ่าตัด
2.7
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนทั้งร่ายกาย และจิตใจจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
อยู่เป็นเพื่อนคอยให้กำลังใจ เพื่อลดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น
เป็นส่วนช่วยลดการใช้ออกซิเจนในร่างกายของผู้ป่วย
3. การพยาบาลเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากแผล โดยพยาบาลประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วย
ดูแลให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา ดูแลจัดท่าที่เหมาะสมเพื่อลดการดึงรั้งจากการผ่าตัด
แนะนำให้ทำกิจกรรมที่เบี่ยงเบนความสนใจและกิจกรรมที่เป็นการกระตุ้นให้หลั่งเอนโดรฟินเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด
4. การพยาบาลเพื่อส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วยที่ดี
เพื่อลดอาการท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และส่งเสริมภาวะโภชนาการที่ดีหลังผ่าตัด
4.1 ควรจัดท่าผู้ป่วย
กระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกออกจากเตียง หรือนอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด
4.2 ดูแลให้ได้รับสารอาหาร และพลังงานอย่างเพียงพอในรายที่ไม่มีปัญหาในการรับประทานอาหารเช่น
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ควรดูแลให้รับประทานอาหารทางปาก
ส่วนในรายที่ผ่าตัดในช่องท้องทำให้ลำไส้หยุดทำงานชั่วคราว แพทย์จะพิจารณาให้รับประทานอาหารทางเมื่อลำไส้มีการเคลื่อนไหว
อาหารที่จัดให้ผู้ป่วยควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารและพลังงานครบถ้วน
ส่วนในรายที่งดอาหารและน้ำทางปาก ต้องดูแลให้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำทดแทน
หากผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรช่วยเหลือให้กำลังใจ
ควรให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วยน้ำอุ่นและนอนพักผ่อน
ถ้ามีอาการมากผู้ป่วยอาจได้รับอาการคลื่นไส้ อาเจียน
4.3 สังเกต และบันทึก
ติดตามอาการเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ถึงภาวะการย่อยและดูดซึมอาหารผิดปกติ เช่น ท้องอืด
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เพื่อปรับเปลี่ยนชนิดและวิธีการให้อาหาร ความถี่ ปริมาณ
และความเข้มข้นของสูตรอาหารตามความเหมาะสม
5. การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายและความปลอดภัยของผู้ป่วย
5.1 ดูแลความสุขสบายทั่วไป เช่น
การนอนหลับ อาการคลื่นไส้
การปวดถ่ายปัสสาวะทั้งนี้ควรซักถามความไม่สุขสบายที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ และการดูแลแก้ไขตามอาการ
5.2 การรักษาความสุขอนามัยส่วนบุคคล เกี่ยวกับความสะอาดของร่างกายทั่วไป
โดยเฉพาะช่องปาก รายที่ใส่สายสวนปัสสาวะไว้
5.3 ดูแลความปลอดภัยในรายที่ยังไม่ฟื้นจากยาสลบ หรือมีความรู้สึกตัวไม่ดี
ควรยกราวกั้นเตียงผู้ป่วยก่อนออกจากเตียงผู้ป่วย
6. การพยาบาลเพื่อส่งเสริมการหายของแผล
6.1 สังเกต
และประเมินปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการหายของแผล ได้แก่ ตำแหน่งของแผลผ่าตัด
ลักษณะของแผลเปิดหรือแผลปิด ภาวะโภชนาการของผู้ป่วย ภาวะโรค เช่น เบาหวาน
และการติดเชื้อที่มีอยู่ และมีท่อระบายสายยางต่างๆ เป็นต้น
เพื่อให้การดูแลมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับผู้ป่วย
6.2 สังเกตลักษณะแผลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะแผลมีการติดเชื้อ
เช่น ปวด บวม แดง ร้อน มีกลิ่นเหม็น หรือแผลมีหนองไหล
รวมถึงการสังเกตผิวหนังรอบๆแผลผ่าตัด ลักษณะสี กลิ่น ของสิ่งคัดหลั่ง
6.3 ทำความสะอาดแผลด้วยหลักปราศจากเชื้อ
เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลซึ่งจะทำให้แผลหายช้า
6.4 สอนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผล
และวิธีการส่งเสริมการหายของแผล โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่มีโปรตีน
และวิตามินซีสูง ลดการกระทบกระเทือนแผลผ่าตัดในช่วงที่ยังไม่ได้ตัดไหม การออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาเลี้ยงที่แผลดีขึ้น
7. คำแนะนำก่อนกลับบ้านสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด
7.1.
เรื่องการดูแลแผล และสังเกตอาการ
อาการแสดงของการติดเชื้อ
7.2.
การเคลื่อนไหว
หรือกิจกรรมต่างๆที่เป็นข้อจำกัดหลังผ่าตัด
7.3 การส่งเสริมภาวะโภชนาการของผู้ป่วย อาหารที่ควรรับประทานหรือที่ควรงดการบริโภคยาที่ถูกต้อง
การสังเกตอาการข้างเคียง
7.3.
การดูแลความสะอาดของร่างกาย